‘บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO ครบรอบ 1 ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูศักยภาพบริษัทฯ ยกระดับเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐฯ เป็นอันดับ 3 ของโลก และความสำเร็จจากการร่วมมือพันธมิตรจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในมาเลเซีย เพื่อผลักดันประเทศไทยเป็นฮับส่งออกสินค้าในภูมิภาคไปยังสหรัฐฯ พร้อมดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ ESG มุ่งขยายธุรกิจควบคู่กับสร้างความยั่งยืน วางกลยุทธ์ก้าวต่อไปรุกขยายฐานลูกค้าโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอบริการใหม่ “Dashboard” สร้างมูลค่าเพิ่มด้านบริการ และศึกษาการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า นับจากวันที่ 20 กันยายน 2566 ถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครบ 1 ปี โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจและขยายบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ยกระดับเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา เป็นอันดับ 3 ของโลก และคงความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทยบนเส้นทางขนส่งดังกล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยช่วงไตรมาส 2/2567 ที่ผานมา ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศมาเลเซียในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ Sino Worldwide Logistics SDN. BND แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย (บริษัทฯ ถือหุ้น 51%) เพื่อขยายการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในมาเลเซีย ซึ่งมีปริมาณการขนส่งสินค้ามากเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะการให้บริการในเส้นทางมาเลเซีย-สหรัฐฯ ที่เป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ปัจจุบันมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลแบบ FOB (Free on Board) 150-200 ตู้ต่อเดือน และกำลังขยายการให้บริการแบบ CIF (Cost, Insurance & Freight) โดยบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนในมาเลเซียแล้วตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าจากกลุ่มประเทศในอาเซียนไปยังสหรัฐฯ
นอกจากนี้ SINO ยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ผ่านการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งยังยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าในระยะยาว และด้วยแนวทางดังกล่าว SINO ตั้งเป้าพัฒนาและขยายธุรกิจควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ระดับโลกต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวต่อว่า ก้าวต่อไปในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ได้วางแผนงานเชิงรุกเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเสริมจุดแข็งและสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน โดยการขยายธุรกิจขนส่งสินค้าบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ นั้น ล่าสุด ทีมงานฝ่ายขายของบริษัทฯ ได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อพบลูกค้าและเพิ่มโอกาสขยายตลาดรวมถึงขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ หลังจากในปีที่ผ่านมาได้รุกทำตลาดให้บริการขนส่งอาหารและวัตถุดิบในเส้นทางไทย-สหรัฐฯ และมีผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 50 ตู้ต่อเดือนในช่วงแรก เป็นเฉลี่ย 800 – 1,000 ตู้ต่อเดือนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้โอกาสดังกล่าวนำเสนอบริการใหม่ที่เรียกว่า “Dashboard” แก่ลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มมูลค่าและศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยลูกค้าสามารถใช้บริการดังกล่าวเพื่อติดตามสถานะตู้คอนเทนเนอร์และเช็กระยะเวลาการขนส่งถึงปลายทางได้เองจากช่องทางเว็บไซต์ที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องเช็กสถานะผ่านแพลตฟอร์มของผู้ประกอบการสายเรือที่เป็นผู้ขนส่งสินค้า โดยบริษัทฯ เริ่มให้บริการดังกล่าวแก่ลูกค้าในประเทศไทยแล้วและมีผลตอบรับที่ดี นอกจากนี้ ได้จัดสรรงบการตลาดเพื่อร่วมสนับสนุนการแข่งขันกอล์ฟของกลุ่มผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าและร้านอาหาร โดยมองว่าจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้า
ทั้งนี้ จากแผนงานที่จะขยายการให้บริการขนส่งสินค้าจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนไปยังสหรัฐฯ เบื้องต้นพบว่ากลุ่มลูกค้าในสหรัฐฯ มีความต้องการนำเข้าสินค้าจากหลากหลายประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน ล่าสุด บริษัทฯ จึงอยู่ระหว่างศึกษาแผนการจัดตั้งสำนักงานเพิ่มเติมในกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อจากมาเลเซียซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปก่อนหน้า เพื่อขยายการให้บริการได้อย่างครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น